Powered by Blogger.
RSS

ถอดบทวิทยุ รายการรักพ่อ ตอนที่สอง ๑๖ ก.ย.๒๕๕๔

ถอดบทวิทยุ รายการรักพ่อ ตอนที่สอง ๑๖ ก.ย.๒๕๕๔
เพลงไตเติ้ลเข้ารายการ...

ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการ รักพ่อ รากยารรักพ่อ เกิดขึ้นจากการรวมตัว ร่วมใจ ของกลุ่มบุคคล ที่มีความรักชาติ หวงแหนแผ่นดิน และ จงรักภักดีต่อพ่อ องค์พระภูมิพล เกิดจากอุดมการณ์ และมุ่งมั่นในอุดมการณ์อย่างแรงกล้า ยึดมั่นในความเป็นธรมของสังคม ยึดความถูกต้องในการก้าวเดิน ในแต่ละย่างก้าว ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ร่วมกิจกรรม พิสูจน์ความตั้งใจ พิสูจน์หัวใจกันมา จนเป็นกลุ่ม รักพ่อภาคปฏิบัติ และเป็นที่มาของรายการ รักพ่อ รักพ่อ รักพ่อ...

สวัสดีครับท่านผู้ฟัง กระผมนายสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการ รักพ่อ ท่านผู้ฟังครับ ถึงวันนี้ เรามั่นใจ และขอคาราวะในน้ำใจ อันหาญกล้าของทุกคน
ระหว่างทาง ระหว่างการทำงาน ได้เกิดคำถามขึ้นมาจากเพื่อนๆ ที่เฝ้าดูกิจกรรมของเรา มาระยะหนึ่ง ทำงานกันหรือเปล่า หรือนี่คืองาน ใครสนับสนุนค่าใช้จ่าย เป็นคำถามที่ ถามกันเข้ามายังกลุ่มพวกเรา คำตอบก็คือ เราเป็นกลุ่มกิจกรรมอิสระ ทุกคนมีหน้าที่การงาน แต่ทุกคนมีจิตสาธารณะ มีจิตอาสา เสียสละความสุขส่วนตัว ในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม สละเวลาบางเวลา ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องปฏิบัติการ นี่คือ คำตอบ ไม่มีใครสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายใดๆที่เกิดขึ้นจากการทำงาน เพื่อนๆในกลุ่มช่วยกันสนับสนุน ตามกำลัง หรือเพื่อนๆพี่ๆ อยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างจังหวัด ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมได้ แต่ขอมีส่วนร่วมบ้าง ก็ช่วยสนับสนุนเข้ามาบ้าง ตามกำลังและความจำเป็น ค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายใดๆ ใช้จ่ายเงินส่วนตัวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีความมุ่งมั่น ก้าววออกมาเดินเส้นทางสายนี้ เพราะจุดหมายปลายทาง คือ แสดงความจงรักภักดีและปกป้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างเป็นรูปธรรม ร่วมกัน ปัญหาส่วนตัว บางครั้งเป็นเรื่องใหญ่ แต่ปัญหาใหญ่กว่า คือ ชาติ บ้านเมือง และส่วนรวม

กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ ทำกิจกรรมเป็นรูปธรรน มาแล้วหลายอย่าง ที่เห็นเป็นข่าว ในโลกไซเบอร์และเป็นเป้าหมายการโจมตี ซึ่งอาจนำอันตรายมาสู่ ผู้ปฏิบัติการนั่นคือ การออกไปเช็ดตามล้าง ขัดถู ป้าย หรือกำแพงที่ถูกขีดเขียน พ่นสเปรย์ ไม่เอามาตรา 112 และใช้ถ้อยคำ หยาบคาย การนัดกันเข้าชมภาพยนตร์ และนำร้องเพลงสรรเสริญ ให้กึกก้อง เพื่อกระตุ้นต่อมสำนึกของคนรักพ่อหลวง การไปถวายพระพร และถวายสัตย์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงพยาบาลศิริราช ทุกๆวันอาทิตย์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้คนรักพ่อ กล้าลุกขึ้นมา ทำอะรที่เป็นรูปธรรมเพื่อพ่อบ้าง หรือ การเขียนบทความ เทิดพระเกียรติ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้แพร่กระจายออกสู่สังคมออนไลน์ ให้มากที่สุดและเรายังมีกิจกรรมอื่นๆที่ยังอยู่ในระหว่างการผลิตงานออกสู่สังคมต่อไปในเร็วๆนี้ .. กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ เราไม่รังเกียจ หรือปิดกั้นการแสดงออกถึงการรักพ่อ ไม่ได้สงวนสิทธิ์การรักพ่อ ไว้เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องขอขอบคุณทุกเวบไซต์ ที่ช่วยประชาสัมพันธ์ผลงานของกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ และช่วยเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอเชิญชวนบุคคลที่มีหัวใจรักพ่อทุกคน เข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อพ่อ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร นับถือศาสนาใด อยู่ในสถานะใดก็ตาม ขอเพียงท่านรักพ่อ เข้ามาร่วมกิจกรรมกับเรา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต.. คนทำดีต้องได้ดีแน่นอนครับ

ท่านผู้ฟังครับ ขอกำลังใจจากท่านผู้ฟัง ที่ช่วยสนับสนุนคนดี คิดดี และทำความดี ขอเป็นกำลังใจ ด้วยพลังใจครับ

(เปิดเพลงรวมพลังใจ - ศิลปิน ไก่ แมลงสาบ สุเวศน์ ภู่ระหงษ์)

ท่านผู้ฟังครับ เนื่องในโอกาสวันมหิดล ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กันยายน ของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันทิวงคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งทรงมีคุณูปการแก่วงการแพทย์ไทยเป็นอย่างสูง จนได้รับการยกย่องให้ทรงเป็น พระบิดา แห่งวงการแพทย์ไทย ทุนมูลนิธิอานันทมหิดลเป็นทุนที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทาน ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ ก่อตั้งขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช 2498 ทั้งนี้ เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนนักศึกษา ผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ให้ได้มีโอกาสไปศึกษาหาความรู้ขั้นสูงสุด จากประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยทรงพระราชดำริว่า เมื่อได้ศึกษาถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะเห็นว่าศาสตร์ต่างๆนั้นจะมีความสัมพันธ์กัน และสามารถนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และประเทศชาติได้ โดยเริ่มแรก ได้ทรงพระราชทานนามแก่ทุนนี้ว่า "ทุนอานันทมหิดล" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ในสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนอานันทมหิดล โดยในลำดับแรก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานทุนแก่ผู้สำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์เป็นประเดิม ด้วยทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาท แห่งสมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ และสนพระทัยการสาธารณสุข ของประเทศเป็นอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระดำเนินรอยตามพระราชบิดา ซึ่งทรงเห็นความจำเป็นในการสร้างสรรค์อาจารย์แพทย์ และอาจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีพระประสงค์จะให้บุคคลเหล่านั้น กลับมาเป็นครูที่ดี ช่วยปรับปรุงและส่งเสริมความรู้ ในสาขาวิชาที่ยังบกพร่อง ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานทุนแก่นักศึกษา ให้ไปศึกษษด้านวิทยาศาสตร์และด้านการแพทย์ ยังต่างประเทศจนสำเร็จการศึกษาและกลับมาทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมาแล้ว ลำดับต่อมา เมื่อกิจการของทุนอานันทมหิดล ดำเนินการได้ผลดีมาเป็นระยะเวลา 4 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณษโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งมูลนิธิอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 3 เมษายน ปีพุทธศักราช 2502 และเมื่อมีความต้องการ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาแขนงอื่นๆ เพิ่มขึ้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานทุนในสาขาต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน ได้มีการพระราชทานทุนแยก เป็นแผนกต่างๆ ถึง 8 แผนก ดังนี้
แผนกแพทย์ศาสตร์
แผนกวิทยาศาสตร์
แผนกวิศวกรรมศาสตร์
แผนกเกษตรศาสตร์
แผนกธรรมศาสตร์
แผนกอักษรศาสตร์
แผนกทันตแพทย์ศาสตร์
แผนกสัตวแพทย์ศาสตร์

นับเป็นพระอัจฉริยภาพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญ และประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ให้แก่คนไทยอย่างยิ่ง

(เปิดเพลง เรารักพระเจ้าอยู่หัว ศิลปิน วงแฮมเมอร์)

บทเสภา...

6.30 เอ...เอยยย... บุญที่ทำนี้ มีหลายอย่าง.. พ่อสอนสั่ง ทำให้รู้ ดูเหตุผล
เหมือนคนจัดดอกไม้ ให้เขายล
ใจของตน เป็นที่ตั้ง หวังให้ดี
ใครเห็นชม เราปิติ ชื่นใจ
เป็นเพราะเรา มุ่งให้ อย่างเต็มที่
งานทุกอย่าง จะสำเร็จ นั้นต้องมี
ความคิดดี มุ่งดี ที่ดวงใจ

บุญที่ทำนี้ มีหลายอย่าง และได้ยกตัวอย่างการตั้งใจที่จะจัดเช่นดอกไม้ หรืออย่างที่จัดเทียนพรรษานี้ ให้สวยงาม เป็นสิ่งที่ทำให้เบิกบาน ได้รับผลบุญในทันทีที่ทำแล้ว เห็นว่าดี เห็นว่าน่าดู แล้วก็เมื่อไปวางไว้สวยงาม ก็เกิดความปิติขึ้นมา คนที่กล่าวพูดถึงความปิติหรือความสุขนั้น ภายนอกก็ปิติ การที่คนมาเห็นแล้วบอกว่า จัดสวยดี เราก็ปิติ เพราะเราเป็นคนจัด สำคัญที่สุด เพราะว่าเราจัดด้วยความตั้งใจ ความตั้งใจนั้น ตั้งใจที่จะทำให้สวยงาม ให้น่าดู และคนเค้าก็เห็นว่า น่าดู ก็หมายความว่า เค้าได้ผล ผลที่ไม่เห็นก็มี แต่ตัวเองเห็น เพราะว่าเรา จัดดอกไม้ให้สวย เราไม่รีบจัด จิตใจเราเห็น เพราะว่าเราอิ่มเอิบ มีความสุข อันนี้ เป็นเรืองของการทำบุญอย่างที่ง่ายๆ พระราชดำรัสพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วันพุธ ที่ 5 กรกฏาคม ปีพุทธศักราช 2521

ท่านผู้ฟังครับ การทำอะไรก็ดีถ้าจิตเป็นกุศล คิดเป็นกุศล ทำเพื่อการกุศล ความปิติ มีความสุข มีความภาคภูมิใจ เป็นความปิติที่บริสุทธิ์ เป็นความสุขที่ใสบริสุทธิ์ และเป็นความภาคภูมิใจที่อิ่มเอิบ และมีพลังที่บริสุทธิ์ เค้าเรียกว่า ออกหน้า คือทำให้หน้าตาเราสดใส อิ่มเอิบ คนคิดดีหน้าตาก็จะสดใสนะครับท่านผู้ฟัง พระราชดำรัสของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกตอนหนึ่งว่า การทำอะไรที่เป็นมงคลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้เกิดกำลังใจ เพราะว่า คนเราถ้าร่วมจิตร่วมใจกัน ก็เกิดเป็นพลังอย่างสูง เราจะเห็นได้ว่า การสามัคคีมีน้ำใจ การรวมตัวกัน การที่จะทำอะไรร่วมกัน คิดตรงกัน คิดดีร่วมกัน มันจะทำให้เราเกิดพลังนะครับ ท่านผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็ขอเรียนย้ำซ้ำอีกครั้งว่า กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติยินดีต้อนรับ คนที่มีจิตใจรักพ่อ ร่วมกระบวนการทำงานเพื่อเทิดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงผ่อนคลายจากงานต่างๆ ให้พ่อหลวงของเรายิ้มได้นะครับ ครับช่วงนี้ฟังเพลง จากทางรายการของเรา เชิญรับฟังครับ

(เปิดเพลง พระภูมิพล ศิลปิน สุเวศน์ ภู่ระหงษ์)

พระบารมีองค์ภูมิพล ปกป้องทุกชนชาติไทย ครับเป็นเนื้อเพลงบรรทัดสุดท้าย ซึ่ง เขียนมาจากความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ พระองค์ท่านทรงห่วงใยทุกคน ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร อยู่ในสถานะใด หรือจะอยู่ในแดนกันดารขนาดไหนก็ตาม ในใต้ร่มบรมโพธิสมภารของพระองค์ ขอให้เธอจงนึกเสมอว่า พระองค์ทรงห่วงเธอเสมอ .. เป็นบทเพลงที่กระผมได้พยายามที่จะเรียบเรียงอย่างสุดความสามารถ สำหรับเพลงนี้ ใช้เวลาเขียนถึง 4 เดือนทีเดียว นะฮะ อยากจะเล่าถึงความเป็นมาสักนิดนึงสำหรับเพลงนี้ ตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ อายุประมาณซัก 10 ขวบเศษๆ นะครับ ผมเกิดที่จังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นคนชนบท อยู่บ้านหลังเล็กๆหลังคามุงจาก มีคุณพ่อคุณแม่ และพี่น้องด้วยกัน 4-5 คนนะครับ พ่อก็จะพยายามหารูปในหลวงนะครับ สมัยนั้นก็จะมีรูปปฏิทิน พ่อพยายามหารูปที่พระองค์ทรงพระสรวล พ่อก็หายากเหมือนกัน ไปอยุธยา ไปกรุงเทพก็หาไม่ได้ ท้ายที่สุดแกก็หาได้ ไม่ทราบว่า หาได้จากไหนนะครับ พอหลังจากท่านได้มา ท่านก็กลับมาบ้าน ก็เอามานั่งชื่นชมของแกนะฮะ กลางคืนดึกๆขึ้นมาก็จุดตะเกียง ตะเกียงเล็กๆให้แสงน้อยๆ ประหยัดน้ำมันด้วยและไม่ให้แสงสว่างไปกวนใจคนนอน คนอื่นเค้านอนหลับอยู่ ผมตื่นขึ้นมาก็เห็นท่านส่องดู ส่องด้วยแสงตะเกียงเล็กๆ ก็ชื่นชมของแก ไม่ทราบว่าสักกี่วัน แต่มีอยู่วันหนึ่งแกพลาด ถือรูปไปถือรูปมา รูปนั้นไปโดนตะเกียง ไฟก็ไหม้มุมรูปไปมุมหนึ่ง แกก็ทำท่าจะโมโหตัวเองเหมือนกัน ท้ายที่สุดแกก็พยายามที่จะแต่ง ไปหาไม้บางๆ สมัยนั้นไม้อัดไม่มี จะเป็นไม้ฝาตู้เก่าๆ แกก็เอามาแปะและก็ฉะลุจนสวยงามนะครับ และก็ทำเป็นที่ตั้งด้วย ก็ดูเหมือนว่าแกจะชื่นชมฝีมือแกด้วยและก็ชื่นชมลุกขึ้นมาดูก็บ่อย นี่เสมือนว่าเป็นการซึมซับสมัยเด็กๆ เค้าบอกว่า การศึกษาสมัยเมื่อ 70 ปี นะครับท่านผู้ฟัง ก็ได้เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ และก็ถ้าไปวัดก็จะไปเรียนรู้จากพระ จากครูที่โรงเรียน สมัยนั้น การสื่อสารไม่มี มีก็คนชนบทสมัยนั้นไม่มีฟังนะครับ อย่างผมนี่ ตอนเด็กๆแทบจะไม่มีวิทยุฟัง จำได้ว่าจะฟังวิทยุที ต้องเดินเป็น 10 กิโลเหมือนกัน เดินไปฟังเพราะไม่มีรถจะขี่ ฉะนั้น การสื่อสาร ไม่ค่อยดีเหมือนสมัยนี้นะครับ ก็จะไม่ค่อยรู้เรื่องของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซักเท่าไหร่ นอกจากคุณพ่อที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เอารูปมาให้เห็น มาชื่นชมให้ฟัง ก็จะเรียนรู้จากคุณพ่อนะครับ แล้วก็รักในหลวงเหมือนพ่อเหมือนกัน สง่างามมากนะครับสมัยนั้น แล้วพ่อก็ยังหารู)ที่มีรอยยิ้มด้วยนะครับ สง่างามมากทีเดียว ก็จะฝังใจมาตั้งแต่นอนนั้น ตั้งแต่อายุยัง 10 ขวบกว่าๆ จนกระทั่งอายุ 15 พ่อเริ่มอนุญาติให้ไปร้องเพลงกับเค้า ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ก็ไปร้องเพลง จากคณะรำวงบ้าง มีการประกวดอะไรต่อมิอะไรมั่ง อายุประมาณซัก 18-20 ก็เริ่มไปอยู่วงดนตรีครับ ก็วงดนตรีเล็กบ้าง ใหญ่บ้างไปตามสถานะ ตามความสามารถไป ก็ยังนึกถึงภาพที่พ่อนั่งดูรูป นั่งชื่นชมรูป นึกในใจว่า จะเขียนเพลงเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวได้ซักเพลงน้อ จริงๆก็มีการเริ่มจะเน เริ่มจะร้องเพลง เริ่มจะเขียนบทกลอน ก็มีความทะเยอทะยาน อยากจะเขียนถึงพระองค์ แต่ท่านผู้ฟังครับ เชื่อมั้ยครับว่า ผมตั้งใจเขียนตั้งแต่ อายุ 17-18-19 ประมาณนั้นนะครับ แต่กว่าจะเขียนได้ อายุ 55 ครับ วันที่ออกผลงานเพลงชุดนี้ อายุ 55 คือ มีความตั้งใจยังอยู่แต่ยังไม่มีโอกาส.. ก็เขียนเพลงนี้ขึ้นมา ช่วงที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมา ผมได้รับโอกาสให้เป็น ประชาสัมพันธ์กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีคุณสมศักดิ์ อยู่รอด เป็นประธาน แล้วก็มีอาจารย์เพ็ญจันทร์ วรรณรักษ์ ท่านสอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทบุรีนะครับ ท่านก็ช่วยสนับสนุนนะครับ เขียนซี่ สุเวศน์ พยายามหาเรื่องราวสาระมา ส่วนใหญ่ก็เขียนเพลงของกลุ่มสัจจะ ลึกๆผมอยากจะเขียนถึงพระเจ้าอยู่หัวนะฮะ ก็ได้โอกาสได้เขียนเพลงนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้เขียน จิตก็นึกอยู่ว่าเราจะต้องเขียนให้ได้ วันหนึ่งนะฮะ ขณะที่ผมเป็นวิทยากรบนเวที ผมร้องเพลงนี้ขึ้นมา "พระภูมิพลล้นเกล้าเผ่าไทย" ร้องขึ้นมาเลย ก็ร้องไม่จบละครับ แต่ด้นไปได้ระดับหนึ่ง พอลงจากเวทีผมรีบจดเนื้อนะครับ พระภูมิพลล้นเกล้าเผ่าไทย เกรอกก้องเกรียงไกร อยู่ในใจคนไทยทุกคน ครับจำได้แค่นี้ จดได้แค่นี้

พอหลังจากลงจากเวที ผมก็พยายามเขียน เขียนทุกวัน เขียนแล้วก็ลบ เขียนแล้วก็ลบ เกรงว่า ถ้อยคำเนื้อเพลงจะไปกระทบกระเทือนพระองค์ ด้วยความรู้ที่น้อยนิด ไม่กล้า ก็ไปปรึกษาคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เพ็ญจันทร์ วรรณรักษ์ ท่านก็ให้คำปรึกษาดี ท่านบอกว่าพอใช้ได้ วันหนึ่งไปปรึกษาท่านผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนึง ท่านบอกว่า เอ๊ะ บรรทัดสุดท้าย มันทะแม่งๆ ถามเป็นไงครับ .. ที่บอกว่า พระบารมีองค์ภูมิพล ปกป้องทุกชนชาติไทยนั้น เปลี่ยนได้มั้ย ผมบอกว่า ตรงนี้น่ะหัวใจของผมเลยนะ ผมได้เห็นพระองค์ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด อยู่ที่ไหนสถานะใด ในใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ พระองค์ห่วงใยเสมอ จึงเป็นเนื้อหานี้ขึ้นมา ก็ยืนยันที่จะใช้เนื้อหานี้นะครับ พอหลังจากเขียนเสร็จก็ยังไม่มีคนทำดนตรี เอเราจะหาคนทำดนตรีที่ไหนน้อ การอยู่ต่างจังหวัดนี่หายากนะครับ สมัยนั้นก็หายาก ท้ายที่สุดก็ไปพบกับอาจารย์ธนกร ศรีวรนันท์ มีคนแนะนำให้ได้รู้จัก ก็คุยกันไปคุยกันมา แค่ได้ยินนามสกุลก็ชักอุ่นใจ คือยังไม่รู้ว่าฝีมือเค้าทำดนตรีขนาดไหนยังไง แต่ได้ยินนามสกุลแล้วชักอุ่นใจเหมือนกัน "ศรีวรนันท์" ซึ่งเป็นนามสกุลของนักร้องดังในอดีตคนหนึ่ง ก็พูดคุยกันแล้วก็ตกลงทำดนตรีกัน แกก็ทำดนตรีให้ พอหลังจากนั้นซักอาทิตย์นึง แกก็ให้ไปฟังดู ไปฟังดูก็พอใช้ได้นะครับ แต่ท่านผู้ฟังครับสมัยนั้นยุคนั้นไม่มีการตัดต่อ ร้องไม่ดีก็ต้องร้องกันใหม่ พอหลังจากดนตรีเสร็จ ก็ไปร้อง ใช้เวลาเป็น น่าจะ 4-5 วันกว่าจะสำเร็จ บางที ร้องได้เพราะเชียว ใช้ได้เลย ปรากฏว่า พอจะจบใกล้จบ เสียงตุ๊กแกร้อง ก๊อกๆๆๆ ขึ้นมา และต้องทำใหม่อีก นะฮะ จนอาจารย์ธนกรเหนื่อย โกรธตุ๊กแกมากเลย พอหลังจากนั้นแกทุบตุ๊กแกทิ้งเลย เลยบอกว่าไม่น่าไปทุบเลย นี่คือ ความยากลำบากในการทำเพลงสมัยก่อนนะครับ ยากลำบากมาก ก็หลังจากบันทึกเสียงเสร็จ ก็เริ่มทำเป็นเทปนะครับ สมัยนั้นยังไม่มีซีดี ทำเป็นเทปออกมาชุดนึง ก็ได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ก็ประสบความสำเร็จนะครับ หลังจากทำออกมา สภาวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี ได้ส่งเทปเพลงชุดนี้เข้าไปประกวดระดับชาตินะครับ ผมไม่ได้ส่งเองนะครับ สภาวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี เค้าส่งไป ก็ปรากฏว่า ได้รับโล่ห์ศิลปินดีเด่น อุตส่าห์ใช้เวลาตั้งใจมา สร้างเพลงนี้มาก็หลายปีนะครับ ตั้งแต่อายุประมาณว่า 18ก็แล้วกัน จนถึงอายุ 55 ก็หนักหนาสาหัสพอสมควร ก็มีความภูมิในครับที่เขียนสำเร็จ เพราะว่าการเขียนเพลงนี้ จะมีศิลปินหลายท่าน บางคนก็มีความสามารถเขียนเพลงดี ร้อยเรียงดี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำนะครับ หรือบางคน เขียนๆไปก็ติดครับ มันติดตรงท่อนฮุคมั่ง อะไรมั่ง ก็ไม่สำเร็จครับ ฉะนั้น ถ้าไม่มีความตั้งใจจริงๆนะ ลำบากครับ และก็พอดี ก็ใช้เวลาหลายปีนะครับ กว่าจะประสบโอกาส จึงได้มีเพลงพระภูมิพลขึ้นมา ใช้เวลาเป็นปีนะครับ ก็ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ธนกร ศรีวรนันท์ แล้วก็ อาจารยฺเพ็ญจันทร์ วรรณรัตน์นะครับ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ซึ่งตอนนั้นก็เกษียณไปแล้ว และก็คุณสมศักดิ์ อยู่รอด ซึ่งเป็นคนที่ อยากจะบอกว่า เคี่ยวเข็ญให้ผมเขียนเพลง ให้กลุ่มสัจจะ ก็เลยได้โอกาสเขียนเพลงนี้

ครับก็ ช่วงนี้ก็อยากให้ฟังเพลงซักเพลง ในอัลบั้มชุดพระภูมิพล เป็นเพลงที่ ผมได้เข้าไปเป็นวิทยากรในเรือนจำ ก็จะเข้าไปเป็นประจำนะครับเดือนละประมาณ 1ครั้ง 2 ครั้ง หรือ 2-3 เดือนครั้ง แล้วแต่จะจัดมีการอบรมผู้ต้องขังในเรือนจำ ก็ไปพูดหลายครั้งหลายคราวนะครับ เรื่องของ ชีวิตคือตำรา สิ่งที่ผ่านเข้ามา คือคำสอน จะดีร้ายทุกข์สุขทุกขั้นตอน นั่นก็คือคำสอนแห่งชีวิต คือ อยากจะบอกว่า เหตุการณ์ที่จะทำให้เราจะต้อง มาเป็นผู้ต้องขังเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี่ ไม่อยากจะให้มันทำร้ายเราอย่างเดียว อยากจะพูดกับเพื่อนๆ ผมพยายามจะใช้คำว่า เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกัน อยากจะบอกว่าเป็นใคร อย่าให้มันทำร้ายเราอย่างเดียว เราต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เป็นประสบการณ์ นำสอนคนอื่นได้ ให้เป็นวิทยาทานได้ ก็เขียนเพลงนี้ขึ้นมาครับ ปริญญาแห่งชีวิต อยากให้ท่านลองรับฟังครับ เชิญครับ

(เปิดเพลงปริญญาแห่งชีวิต ศิลปิน สุเวศน์ ภู่ระหงษ์)

รายการรักพ่อภาคปฏิบัติ ก็มาถึงช่วงสุดท้ายของรายการ ก็อยากจะขอขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามฟังรายการของเรา และก็ต้องขอขอบคุณด้วยหัวใจที่ หัวใจที่รักและเข้าใจ และซาบซึ้ง กลุ่มคนรักพ่อภาคปฏิบัติ ที่ท่านได้ลงแรง ทุ่มเทหัวจิตหัวใจ ลงไปทำงานเพื่อความสะอาด ความอยู่ดีมีสุขของสังคม ทำให้บ้านเมืองสะอาด เรามีความเชื่อว่า จิตใจของท่านสะอาด จึงมีกะจิตกะใจที่จะไปทำให้สังคมสะอาด ทำให้ประเทศชาติสะอาด ทำให้โลกใบนี้สะอาด ด้วยจิตใจของคนที่มีจิตใจสะอาด ก็คงจะต้องฝากบางสิ่งบางอย่าง

การที่เราจะรวมตัวรวมกลุ่มกัน ที่จะทำงานให้กับพ่อหลวง ให้พ่อของเราได้มีความสุข ได้ผล่อนคลาย ให้พ่อเรายิ้มได้ เราต้องมีความรัก ความผูกพัน ความแน่นแฟ้น เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เราต้องยึดธรรมะสามข้อ
ข้อที่ 1. คารวะธรรม
ข้อที่ 2.สามัคคีธรรม
ข้อที่ 3. ปัญญาธรรม

คารวะธรรม คือ เราจะต้องรับฟังความคิดของคนอื่น ด้วยจิตใจที่เปิด ไม่ใช่พอคนอื่นพูดขึ้นมา ผิด ไม่ใช่ ไม่ถูกไม่ต้อง ฟังก่อนครับ ฟังแล้วก็พยายามหาเหตุผล อาจจะมีอะไรดีๆที่จะมาสะท้อนให้เราได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่จะได้ปรับปรุงวิธีการ ปรับปรุงแผนของเรา คือรับฟังผู้อืนครับ เรามีสมาชิกกี่คนกี่กลุ่มก็ตามที เราก็ต้องฟัง ให้เกียรติคนที่ร่วมงาน รับฟังความคิดเห็น เปิดใจ เปิดตา เปิดบ้าน เปิดทุกอย่าง ฉะนั้นเราจะอยู่ได้อย่างอยู่ดีมีสุขนะครับ

ธรรมะข้อที่สอง สามัคคีธรรม นี่สำคัญมากครับ แม้แต่การจะพูดจะจาอะไรก็ตามทีนะครับ เราจะต้องนึกถึงว่า คำๆนี้อาจทำให้เราแตกความสามัคคีหรือไม่ ให้พึงระวัง ฉะนั้น ต้องรักใคร่สามัคคีเชื่อใจซึ่งกันและกัน เห็นความสำคัญของเพื่อน เห็นความสำคัญของคนที่ร่วมงาน แม้อาจจะต่างความคิดกันบ้าง แต่เราต้องรักกัน ความสามัคคีสำคัญ

ธรรมะข้อที่สามครับ ปัญญาธรรม ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาหนักหนาขนาดไหน ถ้าใช้ปัญญาที่จะแก้ปัญหา ปัญหานั้นจะคลี่คลายอย่างมีเหตุมีผล ไม่เกิดความรุนแรง ไม่เกิดความแตกร้าว ไม่เกิดความแตกแยก เพราะเรามีปัญญา ปัญญาเราก็ร่วมกันคิดครับ ท่านผู้ฟัง ร่วมกันคิด ร่วมกันแสดงปัญญา และสรุปเหตุผลที่ดีที่สุด เหตุผลทีดีที่สุด แก้ปัญหานั้นๆให้ผ่านไป นะครับ ฝากธรรมะสามข้อนี้ไว้ ในกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ อีกอย่างนึงครับ ถ้าเราอยู่ร่วมกันเกินจากสองคน เอาแค่เกินจาก 1 คน ก็เริ่มมีปัญหาใช่มั้ยครับ หลายๆคนก็จะเจอะปัญหา บางทีเราร้อน คนที่อยู่กับเราก็หนาว เปิดพัดลมเปิดแอร์ อีกคนก็หนาวสั่นจะตาย อีกคนก็สบายดี อะไรอย่างนั้น ถ้าเราชอบเค็ม เค้าชอบจืด แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เกินจากสองคนก็ยิ่งมากขึ้น ลำดับสังคมเกินจากสองคน เป็นสามคน สี่คน ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้น แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร อันนี้สำคัญ ถ้าเราไม่มีจิตใจ ถ้าเราไม่ให้ ถ้าเราไม่คิดจะให้ อยู่ยากนะครับ สังคมอยู่ยาก ฉะนั้นเราต้องมีจิตใจคิดจะให้ ซึ่งกันและกัน ทุกคำพูด ทุกเหตุผล กระผมได้พยายามที่จะจัดประเด็นมาจาก พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว ทรงตรัสหลายครั้ง จับมาครั้งละนิดละหน่อย ผสมผสานแล้วได้ใจความว่า เราจะต้องให้ เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เราต้องให้ ..

ท่านผู้ฟังครับ รายการรักพ่อภาคปฏิบัติ ได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของรายการ และก็ฝากท่านผู้ฟังทุกท่าน ช่วยประชาสัมพันธ์ งานของกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ ช่วยขยายความต่อ ช่วยประชาสัมพันธ์ ช่วยบอกต่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่เสียสละความสุขส่วนตัว เสาร์อาทิตย์แทนทีจะได้พัก ไม่ได้พักผ่อน กลับมาทำงาน เพื่อทำให้สังคมสะอาด มีความสุข และสดใส มีความสุขกันทั่วหน้า ในประเทศไทยเรา

ครับ คงต้องร่ำลากันด้วยบทเพลง สุดท้ายนี้ขอให้ท่านผู้ฟังมีสุขภาพดี มีเงินใช้ คิดดีมีแต่กำไร สวัสดีครับ..

(เปิดเพลง We love the king ศิลปิน ไก่ แมลงสาบ + สุเวศน์ ภู่ระหงษ์)
เกษตรพระราชา , สำนึกคุณแผ่นดิน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment